ผมเป็นนิสิตแพทย์ปี 5 ครับ แต่ด้วยผมเป็นคนที่มีความคิดแหวกแนวและแตกต่างจากคนอื่นมากจึงทำให้ไม่มีเพื่อนเลย การเข้าสังคมของผมกับกลุ่มเพื่อนก็เป็นเสมือนคนที่พูดคนละภาษากัน คุยกันไปต่างฝ่ายต่างก็ไม่เข้าใจ และถึงเข้าใจเพื่อนก็จะชี้หน้าบอกว่าผมเป็นคน “แปลกๆ” แต่กระนั้นการที่ผมเป็นคนแตกต่างก็ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้ แนวคิดที่แตกต่างของผมสร้างกระบวนการคิดที่ไม่มีใครเหมือน ผมสามารถอ่านหนังสือและสรุปสิ่งที่เรียนรู้ในแบบของตนเอง และการสรุปความรู้นี้ก็มีประสิทธิภาพยิ่งจนทำให้ผมสอบเข้ามหาลัย สอบแข่งขันต่างๆชิงรางวัลมามากมาย แต่สิ่งที่เพื่อนคนอื่นๆมองผมคือผมเป็นตัวประหลาด และจากความประหลาดก็เปลี่ยนกลายเป็นความเกลียดชังและกีดกัน โดนขับไล่ออกจากกลุ่มของเพื่อนๆ ในโลกของผมไม่มีคำว่าความดี ความเลว เพราะถึงผมพยายามทำดีไปเท่าไร ถ้าหากผลมันออกมาไม่ถูกจริตเพื่อนมันก็จะไร้ค่าไปในบัดดล และบางครั้งอาจถูกมองเป็นความเลวไปเลยด้วยซ้ำ โลกที่ผมอยู่มีแค่กฎของผลประโยชน์เท่านั้น เมื่อใดที่ผมมีผลประโยชน์เพื่อนก็จะมาพูดดีๆด้วยเช่นขอให้ผมอยู่เวรให้แทน เพื่อนอ่านหนังสือสอบไม่ทันและกลัวสอบตกก็มาพูดให้ผมไปดูคนไข้แทนเขาจะได้อ่านต่อ แต่เมื่อผมหมดประโยชน์แล้วเพื่อนจะเหยียบ ขยี้ผมทิ้งไปในทันที พอผมต้องการความช่วยเหลือเพื่อนก็มักตอบว่า “ก็ช่างหัวสิ” พอผมเรียนไม่เข้าใจเพื่อนก็ตอบว่า “แล้วทำไมคนอื่นๆเขาเข้าใจ ไม่เรียนเองมากกว่า” ผมเคยลองเปิดใจคุยกับเพื่อนแล้วเพื่อนก็บอกให้ผมปรับปรุงตัวให้เข้ากับสังคมส่วนใหญ่ได้ บอกว่า “ถ้าปรับตัวไม่ได้ก็ออกไปซะ” ผมก็พยายามเต็มที่รับผิดชอบหน้าที่ตัวเอง รับผิดชอบคนไข้ตัวเองให้ดีที่สุด จะได้ไม่สร้างความลำบากให้แก่คนอื่น แต่ถึงกระนั้นความเกลียดชังก็มีอยู่เหมือนเดิม จนผมได้พบความจริงว่าผมเองไม่ได้เป็นคนเลวหรือทำอะไรผิดถึงควรปรับปรุง ผมเองก็แค่เป็นในสิ่งที่เพื่อนๆไม่ถูกจริตด้วย ไม่มีประโยชน์ต่อพวกเขา พวกเขาถึงได้อยากให้ผมปรับปรุงให้กลายเป็นคนที่ทำให้พวกเขาพึงพอใจได้ เป็นคนเล่นมุขตลกในแบบที่เพื่อนๆขำ เป็นคนในแบบที่เพื่อนๆขีดเส้นอยากจะให้เป็น ซึ่งนั่นมันไม่ใช่ตัวผมเลย ผมเคยลองเปลี่ยนนิสัยตนเองแล้ว แต่สุดท้ายมันกลับเป็นเหมือนผมทำตัวเป็น “ตุ้กตา” ที่ถูกป้อนคำสั่งให้ทำในสิ่งที่เพื่อนๆชอบ ไม่มีความสุข ไม่มีความเป็นมนุษย์อยู่ในตัวเลย ซ้ำเพื่อนที่บอกจะให้โอกาสก็ยังคอยมาจับผิดเวลาผมพลาดเพื่อที่จะเอามาด่าเสียๆหายๆให้ผมรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าพวกมันอีก ไม่ได้จะเปิดรับผมแบบที่พูดไว้ในตอนแรกเลยแม้แต่น้อย ผมคิดว่าตัวตนของผมคือ “ความเลว” เป็นบาป เป็นความผิด แต่พอผมลองอยู่กับตัวเองผมกลับพบว่าผมไม่ได้ผิดอะไรเลย ผมแค่เป็นตัวของตนเอง ผมคิดถึงและแคร์คนอื่นเสมอ ผมไม่ได้คิดร้ายเอาเปรียบใคร สามารถรักษาคนไข้ และทำให้คนไข้ยิ้มมีความสุขมาแล้วมากมาย สามารถเป็นแพทย์ที่ภาคภูมิในแบบของตนได้ ในที่สุดผมจึงตัดสินใจว่าผมจะภูมิใจในความเป็นตนเอง เป็นแพทย์ที่สามารถรักษาผู้อื่นอย่างเต็มที่ในแบบของตนเองถึงแม้จะต้องเดินไปในเส้นทางโดยปราศจากเพื่อนในสถาบันสักคนก็ตาม แต่ถึงกระนั้นเส้นทางแห่งความเดียวดายมันช่างยาวไกลนัก ผมถูกเพื่อนกีดกันออกจากการเรียน การทำงาน และพอผมไม่มีงานก็มาด่าผมซ้ำว่าไม่มีประโยชน์อีก ผมเริ่มรู้สึกหลงทางและสับสน ถึงแม้ใจของผมจะยังสู้ต่อไปก็ตาม
ผมหลงทาง ไม่มีเพื่อน แต่ยังคงมีน้ำหนักของความเป็นแพทย์แบกไว้บนหลัง